การระบุความถี่วิทยุ (RFID) ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า RFID ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของคลังสินค้าอย่างมาก ระบบดังกล่าวทำงานโดยใช้คลื่นวิทยุในการอ่านข้อมูลจากแท็กขนาดเล็กที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในสถานที่จัดเก็บ แท็กเหล่านี้มีข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงได้ทันทีเมื่อต้องการ สำหรับหัวหน้าฝ่ายคลังสินค้า หมายความว่าพวกเขาสามารถรับข้อมูลอัปเดตอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับตำแหน่งของสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องตรวจสอบด้วยตนเองทุกพื้นที่ การดำเนินงานจึงเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น เนื่องจากพนักงานใช้เวลาน้อยลงในการค้นหาสินค้า และมีเวลาเพิ่มขึ้นในการจัดการสต็อกจริง ๆ นอกจากนี้ ข้อผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายหรือวางสินค้าผิดที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากระบบสามารถติดตามการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ
เทคโนโลยี RFID จริง ๆ แล้วเริ่มมีการใช้งานตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 แม้ว่าจะต้องรอจนถึงช่วงปลายยุค 90 ที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กันอย่างแพร่หลาย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา RFID มีการพัฒนาไปมากและปัจจุบันมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานของคลังสินค้าในแต่ละวัน ผู้คนชื่นชอบเทคโนโลยีนี้เพราะมันช่วยให้สามารถติดตามสินค้าขณะเคลื่อนย้าย ทำให้จำนวนสินค้าคงคลังมีความถูกต้องแม่นยำมากกว่าที่เคยเป็น และช่วยให้การเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านสถานที่จัดเก็บเป็นไปอย่างรวดเร็วและลื่นไหลยิ่งขึ้น ผู้จัดการคลังสินค้าต่างยืนยันถึงข้อดีเหล่านี้หลังจากเปลี่ยนมาใช้จากระบบบาร์โค้ดแบบเดิม
ระบบ RFID มีสามส่วนหลัก ได้แก่ แท็ก เครื่องอ่าน และระบบหลังสำนักงาน เหล่าแท็กมีหลายประเภท โดยแบบพาสซีฟไม่ต้องการแหล่งจ่ายไฟ ส่วนแบบแอคทีฟมีแบตเตอรี่ในตัว และยังมีแบบกึ่งแอคทีฟซึ่งอยู่ระหว่างกลาง แท็กเหล่านี้จะเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้าคงคลังที่ถูกติดตั้งไว้ เครื่องอ่านจะรับข้อมูลที่เก็บอยู่ในแท็กโดยใช้สัญญาณวิทยุ เมื่อข้อมูลถูกรวบรวมแล้ว ระบบหลังสำนักงานจะเข้ามาประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดนี้ เพื่อให้ผู้จัดการสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจว่าแต่ละส่วนทำงานร่วมกันอย่างไร จะช่วยให้การนำเทคโนโลยี RFID ไปใช้งานในคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
เทคโนโลยี RFID ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจนับสินค้าในคลังสินค้าได้อย่างมาก เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนในการสแกนสินค้าทีละชิ้น การตรวจนับสินค้าไม่ตรงกันเกิดขึ้นน้อยลงอย่างมากเมื่อใช้ระบบดังกล่าว ตามการวิจัยที่แสดงว่ามีปัญหาน้อยลงประมาณ 30% เมื่อคลังสินค้าติดตั้ง RFID อย่างเหมาะสม พวกเขาจะได้รับการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสินค้าที่มีอยู่จริงบนชั้นวางของ แทนที่จะพึ่งพาเอกสารแบบกระดาษที่ล้าสมัย การทำให้การเก็บข้อมูลเป็นระบบอัตโนมัติช่วยลดข้อผิดพลาดที่น่ารำคาญที่เกิดจากบันทึกมือหรือฉลากที่อ่านผิด บริษัทต่างๆ เช่น RMS Omega ต่างได้รับประโยชน์เหล่านี้โดยตรงหลังจากนำระบบ RFID มาใช้ในกระบวนการดำเนินงานของตน
เทคโนโลยี RFID ยังมีข้อดีที่สำคัญอื่น ๆ สำหรับคลังสินค้า นั่นคือการทำให้กระบวนการทำงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อพนักงานไม่ต้องสแกนสินค้าหรือป้อนข้อมูลลงระบบด้วยวิธีการแบบ manual ก็จะสามารถปลดล็อกเวลามาใช้ทำสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เช่น การจัดเรียงสินค้า การจัดการพื้นที่จัดเก็บ หรือการดำเนินคำสั่งซื้อของลูกค้า แทนที่จะเสียเวลากับเอกสารเป็นชั่วโมง ทั้งหมดนี้ช่วยให้คลังสินค้าทำงานได้ดีขึ้นโดยรวม และสินค้าก็เคลื่อนตัวได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในห่วงโซ่อุปทาน เพราะความล่าช้ามักส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่าย สถานที่จัดเก็บที่นำ RFID มาใช้จริงมักพบว่าสามารถเพิ่มปริมาณการผลิต (throughput) ได้อย่างมาก นั่นหมายความว่าสามารถรองรับงานได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มพนักงานหรือพื้นที่ และที่แน่นอน เมื่อกระบวนการดำเนินไปได้ดี ผลประกอบการก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
เทคโนโลยี RFID ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถในการติดตามตรวจสอบสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ตลอดเส้นทางของห่วงโซ่อุปทาน บริษัทต่างๆ จึงมีข้อมูลที่แม่นยำขึ้นเมื่อถึงเวลาตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน การมองเห็นที่ดีขึ้นนี้ช่วยลดระยะเวลาในการดำเนินการสั่งซื้อ และทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น เนื่องจากคลังสินค้าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น และรักษาปริมาณสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มองไปที่ภาพรวมมากขึ้น ระบบ RFID ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับคลังสินค้าที่ต้องการจัดการการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของธุรกิจในปัจจุบัน
เทคโนโลยี RFID ช่วยเพิ่มความเที่ยงตรงของสินค้าคงคลังอย่างมาก เพราะสามารถติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ คลังสินค้าสามารถตรวจสอบได้ว่าแต่ละชิ้นอยู่ที่ใดและอยู่ในสภาพเช่นไร โดยไม่ต้องลงมือจัดการเอง ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การตรวจนับสต็อกใช้เวลาน้อยลงมาก เนื่องจากไม่ต้องนับสินค้าด้วยวิธีการ manual อีกต่อไป บริษัทต่างๆ จึงไม่ต้องกังวลมากเกี่ยวกับปัญหาสินค้าหมดหรือสั่งสต็อกไว้มากเกินไป เมื่อธุรกิจได้รับข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน ก็จะช่วยให้การบันทึกข้อมูลมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นด้วย บางบริษัทรายงานว่าสามารถลดเวลาการตรวจสอบลงได้ถึงครึ่งหนึ่งหลังจากนำระบบ RFID มาใช้งาน
เทคโนโลยี RFID ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ซึ่งเป็นปัญหาประจำของระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบดั้งเดิม เมื่อคลังสินค้าพึ่งพาการป้อนข้อมูลด้วยคนน้อยลง กลับทำให้งานสำเร็จได้มากขึ้นพร้อมกับหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่สร้างความเสียหายสูงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การติดตั้งแท็กและเครื่องอ่าน RFID ตามพื้นที่จัดเก็บช่วยให้สามารถติดตามตำแหน่งสินค้าได้อย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายเข้าออก ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวและทำให้กระบวนการทำงานราบรื่นกว่าที่ผ่านมา ต่างจากบาร์โค้ดที่ต้องอาศัยการสแกนด้วยสายตาโดยตรง ระบบ RFID สามารถทำงานได้จากระยะไกล ทำให้การติดตามสินค้าในพื้นที่ขนาดใหญ่ง่ายขึ้นมาก การเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตโนมัติแบบนี้ ช่วยปลดปล่อยพนักงานให้สามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่าแทนที่จะเสียเวลาทำภารกิจสแกนซ้ำๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คลังสินค้าหลายแห่งรายงานว่าประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังเปลี่ยนระบบ
เทคโนโลยี RFID เปลี่ยนวิธีที่คลังสินค้ารับมือกับสินค้าที่เข้ามา โดยทำให้สามารถสแกนสินค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาการพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดด้วยคน กระบวนการทั้งหมดจึงเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องรอเอกสารทางกระดาษหรือข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูล เมื่อกล่องสินค้าเริ่มมาถึงบริเวณท่าเทียบรถ สแกนเนอร์ RFID จะอ่านข้อมูลของสินค้าโดยอัตโนมัติ ทำให้สินค้าย้ายจากบนรถบรรทุกไปยังระบบสต็อกได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก คลังสินค้ารายงานว่ามีข้อผิดพลาดในการนับสินค้าน้อยลง เนื่องจากทุกอย่างถูกติดตามผ่านระบบดิจิทัลทันทีที่เกิดขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหมายถึงการควบคุมสต็อกสินค้าที่ดีขึ้นโดยรวม ในขณะที่พนักงานใช้เวลาน้อยลงกับงานเอกสารที่น่าเบื่อ และมีเวลาจัดการปฏิบัติการจริงมากขึ้น
RFID ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์การจัดเก็บที่ดีกว่ามาก ช่วยให้สินค้าไปยังจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว ระบบจัดการคลังสินค้าทำงานร่วมกับแท็ก RFID ตลอดทั้งพื้นที่ เมื่อสินค้าเคลื่อนผ่านเครื่องสแกน ระบบจะอัปเดตข้อมูลทันทีว่าแต่ละชิ้นควรจัดวางที่ใด พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ทันที แทนที่จะเสียเวลาในการคิดหาตำแหน่งจัดเก็บเอง การดำเนินงานทั้งหมดจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้สินค้าเคลื่อนตัวผ่านคลังได้เร็วขึ้น และใช้พื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งที่น่าสนใจคือ RFID เชื่อมโยงพื้นที่รับสินค้าเข้าสู่โซนจัดเก็บได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยเพิ่มความเร็วในการดำเนินการทั้งระบบ และลดข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำให้ห่วงโซ่อุปทานดำเนินไปอย่างราบรื่นทุกวัน
เทคโนโลยี RFID ช่วยเพิ่มความเร็วในการจัดสินค้าตามคำสั่งซื้อในคลังสินค้าอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้ค้นหาสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เมื่อสินค้าถูกติดแท็ก RFID พนักงานในคลังสินค้าจะไม่ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงในการค้นหาสินค้าในพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ เพียงแค่สแกนก็สามารถหาตำแหน่งสินค้าได้ทันที สิ่งนี้สร้างความแตกต่างอย่างมากในคลังสินค้ายุคใหม่ที่บริษัทต้องการเร่งการส่งมอบสินค้าออกไปยังลูกค้าให้รวดเร็วกว่าที่เคย เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ การสามารถมองเห็นตำแหน่งของสินค้าคงคลังได้ทันที หมายถึงการลดความล่าช้า และทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น เพราะได้รับสินค้าตรงเวลาโดยไม่มีปัญหาใดๆ
เทคโนโลยี RFID ช่วยลดข้อผิดพลาดในกระบวนการจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าที่ถูกต้องจะออกจากคลังสินค้าจริง ๆ การตรวจสอบอัตโนมัติแบบนี้สามารถจับข้อผิดพลาดได้ตั้งแต่ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้กรณีที่ลูกค้าได้รับสินค้าผิดหรือไม่ได้รับอะไรเลยลดลงอย่างชัดเจน คลังสินค้าที่นำระบบ RFID มาใช้งานมักจะเห็นอัตราความแม่นยำในการดำเนินงานโดยรวมดีขึ้น ลูกค้าก็มีความพึงพอใจมากขึ้นเมื่อได้รับสินค้าถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องการคืนสินค้าและการแก้ไขข้อผิดพลาดในภายหลัง นอกจากการคัดเลือกสินค้าเพื่อจัดส่งได้รวดเร็วขึ้นแล้ว ระบบเหล่านี้ยังช่วยให้การทำงานในคลังสินค้าราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ วัน ผู้จัดการฝ่ายโลจิสติกส์หลายคนรายงานว่าประสิทธิภาพการทำงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน RFID พร้อมทั้งเกิดผลกระทบเชิงบวกที่กระจายไปทั่วเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
การติดตั้งระบบ RFID มักมาพร้อมกับปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด ปัญหาหลักเกิดจากหลักการทำงานของเทคโนโลยี RFID เนื่องจากใครก็ตามที่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมสามารถอ่านข้อมูลจากแท็กเหล่านี้และเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญได้ หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม บริษัทที่ต้องการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานควรวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่เทคนิคการเข้ารหัสไปจนถึงการควบคุมการเข้าถึงและกระบวนการยืนยันตัวตน เพราะไม่มีใครอยากให้มีคนแปลกหน้าแอบสอดรู้สอดเห็นข้อมูลสินค้าคงคลังหรือไฟล์ของผู้ป่วยอย่างแน่นอน ปัจจุบันเราเห็นแท็ก RFID ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการติดตามสินค้าบนชั้นวางร้านค้า พัสดุที่เคลื่อนย้ายผ่านคลังสินค้า หรือแม้แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการรักษาความปลอดภัยให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม
การนำระบบ RFID เข้ามาใช้งานร่วมกับระบบที่มีอยู่เดิมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร การทำให้ถูกต้องและลงตัวนั้นต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยปกติแล้ว บริษัทมักจะพบปัญหา เนื่องจากเทคโนโลยี RFID มักไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว เช่น ซอฟต์แวร์ ERP หรืออุปกรณ์ IT ทั่วไป ต้องการจะก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้หรือไม่ เริ่มต้นด้วยการวางแบบแผนอย่างชัดเจนในแต่ละขั้นตอน อย่าลืมคำนึงถึงปัจจัยคน เพราะพนักงานจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสม มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครจะเข้าใจวิธีการใช้งานระบบที่ใหม่นี้เมื่อถึงเวลาที่ติดตั้งเสร็จ ขั้นตอนเหล่านี้สำคัญมาก หากองค์กรต้องการจะได้รับประโยชน์จริงๆ จากเทคโนโลยี RFID แทนที่จะเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์กับสิ่งที่นำมาใช้ไม่ได้ เมื่อทำได้อย่างถูกวิธี RFID สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและปรับปรุงความแม่นยำของข้อมูลได้อย่างแท้จริง
การผสานเทคโนโลยี RFID เข้ากับ IoT และปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของคลังสินค้า โดยทำให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้นด้วยข้อมูลจริง แทนการเดาสุ่ม เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานร่วมกัน จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ (predictive analytics) ซึ่งทำให้คลังสินค้าไม่ใช่แค่ตอบสนองปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อใด ส่งผลให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดการกักตุนสินค้ามากเกินไป และการดำเนินงานประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะทุกคนมีข้อมูลที่แม่นยำพร้อมใช้งานทันที กลไกการทำงานคืออะไร? อุปกรณ์ IoT จะเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์จากทุกจุดของสถานที่ ขณะที่ AI ประมวลผลข้อมูลอยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างเช่น การใช้แท็ก RFID ร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ช่วยให้ผู้จัดการทราบตำแหน่งและสภาพของสินค้าอย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกัน AI จะวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายในอดีต ร่วมกับพยากรณ์อากาศ หรือแนวโน้มบนโซเชียลมีเดีย เพื่อคาดการณ์ว่าลูกค้าอาจต้องการสินค้าใดในสัปดาห์หน้า หรือแม้กระทั่งเดือนหน้า
เทคโนโลยี RFID ไม่หยุดพัฒนาและดีขึ้นตลอดเวลา ช่วยให้บริษัทต่างๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ทั้งตัวแท็กที่เล็กลง และสัญญาณที่ส่งออกมามีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน เช่น โกดังหรือโรงงานที่มีวัสดุโลหะเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสัญญาณรบกวนหรือสับสนระหว่างสัญญาณอีกต่อไป นอกจากนี้ อุปกรณ์ RFID ยังมีราคาถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ระบบเหล่านี้เพื่อบริหารจัดการสต็อกสินค้าได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก ปัจจุบันเราเห็นแนวโน้มนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่แพทย์ต้องการเข้าถึงเวชภัณฑ์ได้ทันที ร้านค้าที่ต้องการป้องกันการขโมยสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าที่ต้องจัดการกับปริมาณพัสดุจำนวนมากในแต่ละวัน การติดตามตรวจสอบอย่างแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเวลาเป็นสิ่งมีค่า