แท็ก RFID ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการติดตามและรวบรวมข้อมูลในหลากหลายสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม โดยที่เรียกระบบเหล่านี้ว่าเทคโนโลยีการระบุความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification) ซึ่งปัจจุบันระบบ RFID ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหลายสาขา เช่น คลังสินค้า โรงงาน และร้านค้า มีแท็ก RFID หลายประเภทที่มีอยู่ในท้องตลาด ได้แก่ แบบแอคทีฟที่ต้องใช้แบตเตอรี่ แบบพาสซีฟที่ทำงานโดยอาศัยสัญญาณจากตัวอ่าน และแบบเซมิ-พาสซีฟที่อยู่ระหว่างกลางของสองแบบนี้ บริษัทส่วนใหญ่มักเลือกใช้แท็กแบบพาสซีฟเมื่อต้องการเพียงแค่ติดตามสินค้าคงคลัง เนื่องจากมีราคาถูกกว่าตัวเลือกอื่นๆ มาก ระบบทำงานอย่างไร? โดยพื้นฐานแล้ว แท็ก RFID จะส่งสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุเพื่อสื่อสารกับตัวอ่านและเสาอากาศพิเศษ ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลและระบุวัตถุต่างๆ ได้โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรง การทำงานแบบไม่ต้องสัมผัสนี้ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจที่ต้องทำการตรวจนับสินค้าคงคลังอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีปริมาณสินค้าจำนวนมาก ซึ่งการตรวจสอบด้วยวิธีการแบบแมนนวลจะไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
NFC แท็กอยู่ในกลุ่ม RFID โดยทำงานในระยะใกล้ และถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องจักรในโรงงานไปจนถึงสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน อุตสาหกรรมต่างนิยมใช้เพราะช่วยให้พนักงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้โดยไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์ ซึ่งสามารถผสานรวมเข้ากับระบบ RFID ที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว จากนั้นก็มี RFID แบบ 125kHz ที่ทำงานที่ความถี่ต่ำกว่า ระบบนี้เหมาะเมื่อระยะทางไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เช่น รีโมทสำหรับเปิดประตูในอาคารสำนักงานที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่ามันส่งข้อมูลได้ช้ากว่า NFC แต่สิ่งที่คนให้ความสำคัญในกรณีนี้คือเรื่องราคา สำหรับผู้ผลิตที่ต้องการควบคุมต้นทุนโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพพื้นฐาน เทคโนโลยีรุ่นเก่ายังคงมีคุณค่าอยู่ เมื่อต้องเลือกเทคโนโลยีที่จะใช้ บริษัทต่าง ๆ ต้องพิจารณาถึงระยะห่างที่ต้องการอ่านข้อมูลและอัตราความเร็วในการส่งข้อมูล NFC จะเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในสถานการณ์ที่ต้องการข้อมูลอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางองค์กรจะยังคงใช้เทคโนโลยีแบบ 125kHz อยู่ เนื่องจากเป็นระบบที่มีอยู่ก่อนแล้วและเพียงพอต่อการใช้งานที่ต้องการ
การเปรียบเทียบแท็ก RFID แบบกำหนดเองกับแบบมาตรฐาน ช่วยให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญและควรคำนึงถึง ปัจจัยต่างๆ เช่น ความสามารถในการใช้งาน ความคุ้มค่าในระยะยาว และประโยชน์เฉพาะที่แต่ละประเภทนำมาสู่องค์กร แท็กแบบกำหนดเองมักถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เนื่องจากแท็กทั่วไปอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เสมอไป ตัวอย่างเช่น ในสถานพยาบาลที่ต้องการความแม่นยำสูงในการติดตามผู้ป่วย หรือบริษัทในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่ต้องจัดการชิ้นส่วนซึ่งต้องตรงตามข้อกำหนดที่แน่นอน ภาคส่วนเหล่านี้จึงยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้แท็กแบบกำหนดเอง เพราะความผิดพลาดอาจนำมาซึ่งปัญหาร้ายแรง เมื่อองค์กรพิจารณาทางเลือกระหว่างแท็กแบบกำหนดเองกับแบบสำเร็จรูป มีสองประเด็นหลักที่เด่นชัด ได้แก่ ความสามารถในการขยายระบบให้รองรับการเติบโตของธุรกิจ และความราบรื่นในการทำงานร่วมกันของระบบโดยรวม แม้ว่าแท็กแบบกำหนดเองจะให้องค์กรสามารถปรับตัวได้ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องความเข้ากันได้ของระบบ หากระบบเดิมไม่รองรับหรือไม่สอดคล้องกับระบบใหม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้ผลิตจำนวนมากยังคงเลือกใช้แท็กแบบกำหนดเอง แม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า เพราะพวกเขาเห็นคุณค่าในการได้สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกระบวนการทำงานของตนเอง แทนที่จะเลือกใช้สิ่งที่เป็นแบบทั่วไป
เทคโนโลยี RFID กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของโลจิสติกส์โดยรวม เนื่องจากช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถติดตามสินทรัพย์แบบเรียลไทม์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เมื่อบริษัทติดแท็ก RFID บนสินค้าที่จัดส่ง พวกเขาจะได้รับความสามารถในการติดตามที่แม่นยำกว่าวิธีการแบบเดิม เช่น บาร์โค้ด ซึ่งยังต้องพึ่งพาการสแกนด้วยมือจากเจ้าหน้าที่ ลองพิจารณาดูสิ่งที่ Research and Markets ได้รายงานล่าสุด — RFID แบบไม่มีชิปช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมสินทรัพย์ได้ดีขึ้นมาก เนื่องจากทุกสิ่งสามารถมองเห็นได้ทันที การติดตั้งระบบ RFID เข้าไว้ในกระบวนการทำงานด้านโลจิสติกส์นั้น ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การทำงานประจำวันดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย มีข้อผิดพลาดลดลงในการตรวจนับสินค้าคงคลัง และทำให้สินค้าเคลื่อนตัวได้รวดเร็วขึ้นในคลังสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ห่วงโซ่อุปทานมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นทุกเดือน
สติกเกอร์ RFID ช่วยเปลี่ยนเกมในการจัดการสินค้าคงคลังอย่างแท้จริง เพราะมันสามารถทำให้การนับสต็อกที่เคยน่าเบื่อและซับซ้อนเป็นระบบอัตโนมัติ และทำให้ทุกอย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลองดูวิธีที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มใช้ระบบ RFID อย่างแพร่หลายในร้านค้าของพวกเขาในปัจจุบัน ระบบที่ว่านี้สามารถติดตามจำนวนสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ระหว่างสถานที่จัดเก็บต่าง ๆ ได้ จึงไม่จำเป็นต้องเดาอีกต่อไปว่าสินค้าบนชั้นวางมีอะไรบ้าง บริษัทที่เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี RFID มักจะเห็นต้นทุนแรงงานลดลงอย่างมาก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องนับสินค้าด้วยวิธีการแบบเดิมอีกต่อไป เวลาที่ประหยัดได้จากการทำระบบอัตโนมัตินี้ ทำให้เจ้าของกิจการสามารถใช้เวลาน้อยลงกับการกังวลว่าสินค้าอยู่ที่ไหน และมีเวลาคิดถึงเรื่องใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตขององค์กรมากขึ้น โดยรวมแล้ว ซัพพลายเชนจะทำงานได้ลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อมี RFID เข้ามาช่วย
ระบบ RFID ได้กลายเป็นสิ่งที่เกือบจะขาดไม่ได้เลยในด้านการควบคุมการผลิต ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ และเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลตลอดกระบวนการผลิต โรงงานที่นำเทคโนโลยี RFID มาใช้โดยทั่วไปจะเห็นอัตราความผิดพลาดลดลงอย่างมาก ซึ่งหมายถึงการควบคุมคุณภาพที่ดีขึ้นโดยรวม และปัญหาที่เกี่ยวกับการดำเนินงานก็ลดน้อยลงตามไปด้วย ระบบเหล่านี้สามารถติดตามชิ้นส่วนและขั้นตอนต่าง ๆ ในการผลิตได้อย่างแม่นยำมาก ทำให้ข้อมูลที่ผู้จัดการใช้ในการตัดสินใจนั้นมีความน่าเชื่อถือและสมเหตุสมผลในเกือบทุกกรณี ประโยชน์ที่ได้รับนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น หลาย ๆ โรงงานรายงานว่าการดำเนินงานในแต่ละวันมีความราบรื่นมากขึ้นเมื่อ RFID ถูกผนวกเข้าไปในกระบวนการทำงาน เมื่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมการผลิตทวีความรุนแรงมากขึ้น บริษัทต่าง ๆ จึงมองหาวิธีการที่จะกำจัดข้อผิดพลาดออกไปจากระบบสายการผลิตให้หมดสิ้น และ RFID ก็เป็นหนึ่งในทางออกที่เชื่อถือได้สำหรับความต้องการที่เร่งด่วนนี้
เมื่อบริษัท Fluor Corporation เริ่มใช้แท็ก RFID เพื่อติดตามวัสดุที่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านชิ้น ได้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในรูปแบบที่บริษัทจัดการปฏิบัติการบนพื้นที่ก่อสร้าง โดยมีเทคโนโลยี RFID ที่ติดตั้งไว้ Fluor สามารถติดตามว่าของแต่ละชิ้นถูกนำไปใช้ที่ใด โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแต่ละรายการด้วยตนเอง ระบบจะให้การอัปเดตแบบทันทีทันใดทุกครั้งที่มีการย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้เอกสารแบบกระดาษหรือสเปรดชีต วิธีการนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง โดยประมาณการณ์ไว้ว่าสามารถประหยัดรายปีได้ระหว่าง 500,000 ถึง 700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ สิ่งที่ทำให้วิธีการนี้มีคุณค่าคือ สามารถใช้งานได้พร้อมกันหลายพื้นที่ก่อสร้าง สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกัน ประสบการณ์ของ Fluor แสดงให้เห็นว่าการปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับองค์กรนั้นมีความสำคัญที่สุด บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าส่วนใดของกระบวนการทำงานที่เป็นปัญหาก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งาน RFID นอกจากนี้ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจระบบอย่างถูกต้องและการผสานการทำงานเข้ากับซอฟต์แวร์ที่มีอยู่เดิมก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนำระบบดังกล่าวไปใช้ประสบผลสำเร็จ
การนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่าง ๆ มาผสานรวมกับแท็ก RFID ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เมื่อวัตถุทางกายภาพสามารถสื่อสารกับระบบดิจิทัล บริษัทต่าง ๆ ก็จะได้รับข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ในทุกช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น ในกรณีของคลังสินค้าอัจฉริยะ ผู้ค้าปลุกหลายรายในปัจจุบันต่างติดตามการเคลื่อนไหวของพาเลตสินค้าแต่ละชุดผ่านระบบเชื่อมต่อเหล่านี้ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเติมเต็มสินค้าบนชั้นวางได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องสั่งซื้อสินค้าคงคลังมากเกินไป การผสานรวมดังกล่าวยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการติดตามสินค้า และเพิ่มโอกาสในการตรวจพบปัญหาของอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะก่อให้เกิดความล้มเหลวครั้งใหญ่ สำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนพร้อมทั้งปรับปรุงเวลาการส่งมอบ การลงทุนในเทคโนโลยีประเภทนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกที่ดี แต่กำลังกลายเป็นสิ่งที่ธุรกิจที่ต้องการความสำเร็จส่วนใหญ่จำเป็นต้องมี เพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ในตลาดปัจจุบัน
การ์ด RFID แบบเข้ารหัสดิจิทัลช่วยป้องกันสินค้าปลอมได้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม สิ่งที่ทำให้การ์ดเหล่านี้มีความพิเศษคือคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อบริษัทต้องการปกป้องแบรนด์ของตนเองและตรวจสอบความแท้ของสินค้า ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมยา ซึ่งยาปลอมอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือแบรนด์แฟชั่นหรูที่ต้องต่อสู้กับสินค้าลอกเลียนแบบที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายและภาพลักษณ์ของแบรนด์ บริษัทหลายแห่งในวงการเหล่านี้ต่างก็เริ่มนำเทคโนโลยี RFID มาใช้แล้ว และได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบนี้ปลอดภัยคือการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งจะช่วยล็อกข้อมูลไว้ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสามารถแก้ไขหรือเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต องค์กรธุรกิจควรวิจารณ์อย่างจริงจังถึงการเปลี่ยนไปใช้ระบบ RFID แบบเข้ารหัส หากต้องการปกป้องสินค้าของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และรักษาความไว้วางใจจากลูกค้า ความสำคัญของระบบนี้ยิ่งเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีปัญหาการปลอมแปลงสินค้า เช่น บางส่วนของเอเชียและยุโรปตะวันออก ซึ่งสินค้าปลอมกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การคาดการณ์ตลาดแสดงให้เห็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่น่าประทับใจถึง 11.79% สำหรับตลาด RFID ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้คนในอุตสาหกรรมเชื่อมั่นในศักยภาพของ RFID อย่างแท้จริง เราสามารถเห็นการเติบโตนี้กระจายตัวไปยังหลายพื้นที่ ได้แก่ ร้านค้าปลีก โรงงานบนสายการผลิต และคลังสินค้าที่จัดการการจัดส่งสินค้าทุกๆ วัน งานวิจัยตลาดชี้ให้เห็นว่า แท็ก RFID ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสินค้าคงคลังได้ดียิ่งขึ้น รู้ตำแหน่งของสิ่งของในทุกช่วงเวลา และลดค่าใช้จ่ายที่กัดกินกำไร ทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น? บริษัทต่างๆ ในปัจจุบันต้องการรู้ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีความสนใจเพิ่มมากขึ้นในระบบอัตโนมัติในหลากหลายสาขา แนวโน้มเหล่านี้จึงอธิบายได้ว่าทำไมองค์กรจำนวนมากถึงหันมาใช้เทคโนโลยี RFID แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งขั้นต้น
เทคโนโลยี RFID สามารถช่วยประหยัดเงินให้กับบริษัทจำนวนมาก เมื่อพูดถึงการเติมสินค้าคงคลังในห่วงโซ่อุปทานขององค์กร ที่เกิดขึ้นจริงคือระบบจะติดตามระดับสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติ และคำนวณเวลาที่สินค้าจำเป็นต้องสั่งซื้อใหม่ก่อนที่จะหมดลงทั้งหมด ร้านค้าปลีกที่นำระบบแท็ก RFID มาใช้รายงานว่าสามารถเพิ่มการมีอยู่ของสินค้าบนชั้นวางของได้ดีขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยบางส่วนระบุว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายในคลังสินค้าได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ การประหยัดในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อผลประกอบการโดยตรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานทำงานได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย ทำให้ธุรกิจสามารถจัดสรรทรัพยากรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด และตอบสนองได้รวดเร็วขึ้นเมื่อความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด
เทคโนโลยี RFID ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ลดขยะและทำให้กระบวนการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทานมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เมื่อบริษัทต่างๆ ติดตามสินค้าคงคลังและวัสดุการผลิตอย่างแม่นยำผ่านแท็ก RFID พวกเขามักจะใช้ทรัพยากรน้อยลง และเห็นผลลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อธุรกิจนำระบบ RFID เข้ามาใช้ร่วมด้วย มักจะมีสต็อกเกินความต้องการลดลงถึง 30% ซึ่งหมายถึงขยะที่ถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบมีปริมาณน้อยลง และการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการขนส่งก็ลดลงตามไปด้วย สำหรับผู้ผลิตจำนวนมากแล้ว การนำ RFID มาใช้นั้นไม่เพียงแค่ดีต่อโลก แต่ยังเสริมสร้างโครงการ CSR ขององค์กรให้มั่นคงยิ่งขึ้น มันแสดงให้ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเห็นว่า บริษัทเหล่านี้มีความใส่ใจเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่คำศัพท์ทางการตลาด และยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งภายในชุมชนท้องถิ่นไว้ได้อย่างมั่นคง
เมื่อ AI ผสานเข้ากับเทคโนโลยี RFID ก็จะเปลี่ยนวิธีการที่เราดูแลบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ไปโดยสิ้นเชิง ทำให้กระบวนการทำงานลื่นไหลมากขึ้นพร้อมทั้งลดต้นทุน แท็กเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่บรรจุโค้ด AI ไว้ภายใน จะคอยตรวจสอบเครื่องจักรและตรวจจับปัญหาได้ตั้งแต่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ช่วยให้โรงงานไม่ต้องเสียเวลาหยุดรอซ่อมแซมเมื่อเครื่องเสียหาย ต้นทุนที่ประหยัดได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อการบำรุงรักษาเกิดขึ้นก่อนที่ความเสียหายอันเนื่องมาจากราคาแพงจะเกิดขึ้น เช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ บริษัทอย่าง Ford ต่างเห็นอัตราการเสียหายลดลงอย่างมาก ทันทีที่เริ่มใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะเหล่านี้ตามสายการผลิต แทนที่จะแก้ไขเฉพาะเมื่อเครื่องเสีย (ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าไม่มีทางสะดวกเลย) การตั้งค่านี้ช่วยให้วิศวกรสามารถคาดการณ์ปัญหาและแก้ไขได้ตลอดทุกขั้นตอนของการผลิต ทำให้การดำเนินการผลิตดำเนินต่อเนื่องโดยปราศจากความล่าช้าที่สร้างความหงุดหงิดและกัดกินกำไร
เทคโนโลยี RFID ความถี่สูงมาก (UHF) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน เนื่องจากมีการอัพเกรดทางเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการใช้งานระบบเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้แท็ก UHF RFID มีความโดดเด่นคือ ความสามารถในการอ่านข้อมูลจากระยะไกลกว่า และยังสามารถทำงานได้แม้จะมีวัสดุที่อาจกีดขวางความถี่ต่ำกว่า สิ่งนี้มีความสำคัญมากในสถานที่เช่น คลังสินค้าขนาดใหญ่ หรือโรงงานผลิตรถยนต์ ที่มักมีโลหะเป็นจำนวนมาก บัตรและสติ๊กเกอร์ RFID แบบ 125kHz ทั่วไปมักมีปัญหาในการทำงานในสภาพแวดล้อมดังกล่าว แต่ UHF RFID กลับสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาวะที่ท้าทาย ผลลัพธ์ที่ได้คือ บริษัทต่างๆ สามารถมองเห็นตำแหน่งของสินค้าคงคลังได้อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้บริหารจัดการระดับสต็อกได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดทั้งการดำเนินงานที่หลากหลาย
การใช้วัสดุ RFID ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในห่วงโซ่อุปทานเอง วัสดุดังกล่าวช่วยลดขยะจริงๆ เพราะถูกนำกลับมาใช้ซ้ำ แทนที่จะถูกทิ้งหลังใช้งานเพียงครั้งเดียว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เรามีแท็ก RFID ที่ผลิตจากวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแท็กแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น Bluepoint Tags ซึ่งเป็นผู้นำในการผลักดันโซลูชัน RFID ที่สามารถรีไซเคิลได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม แม้บริษัทต่างๆ จะมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนเป็นหลัก แต่ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือ การติดตามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การจัดการห่วงโซ่อุปทานโดยรวมราบรื่นขึ้น ดังนั้น แม้การดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจดูเหมือนมีค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่หลายองค์กรกลับพบว่าการลงทุนด้านนี้ให้ผลตอบแทนทั้งในแง่สิ่งแวดล้อมและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เมื่อทำได้อย่างถูกต้อง